"ทศกัณฐ์"เคยออกซิงเกิ้ล ส่วน "สีดา" ก็ไม่ได้มีคนเดียว!!



หลังจากที่เราได้ลองศึกษาตำนาน วรรณคดีต่างๆของอินเดียทำให้เราพบสัจธรรมข้อหนึ่งที่เอามาใช้ในชีวิตได้ชัดๆเลยคือ “ทุกๆเรื่องราว มีหลายแง่มุม”

ในทุกๆเรื่องเล่า ทุกๆตำนานของอินเดีย ด้วยความที่เป็นอารยธรรมโบราณกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ก็จดต่อกันไม่รู้กี่พันล้านมือ กี่ล้านล้านปากที่เล่าต่อ ทำให้ทุกอย่างมี “หลายเวอร์ชัน” กลายเป็นว่าใครสะดวกใจเสพข้อมูลแบบไหน เชื่ออะไร ก็ตามศรัทธาเอาเลย!

เช่นเดียวกับมหากาพย์เรื่อง “รามายณะ” ก็มีหลายเวอร์ชั่นมากๆๆๆๆๆๆ…อย่างที่รู้ๆว่ารามเกียรติ์ของบ้านเราก็มีต้นเค้ามาจากรามายณะของอินเดีย ผสมๆกับหลายๆเวอร์ชั่นจากที่นั่นนี่นู่น

เพราะงั้นขอย้ำอีกทีว่า รามายณะ กับรามเกียรติ์ คือคนละเรื่องกัน! แค่มีต้นเค้าเดียวกัน มีพล็อตคล้ายกัน ตัวละครเอกเหมือนกันมีตัวร้ายเป็นยักษ์หลายสิบหัว พระรามสุดเท่ และสีดาผู้น่าสงสาร แต่รายละเอียดต่างกันไปเยอะแยะยุกยิกไปหมด

รามายณะแค่เฉพาะในอินเดียก็มีมากมายหลายฉบับ แต่ฉบับที่ถือว่าดั้งเดิมสุดเค้าจะถือว่าเป็นของฤๅษีวาลมิกิ…แต่ขนาดในเวอร์ชั่นเดียวกันนี้ก็ยังมีหลายสำนวน สั้นยาวไม่เท่ากัน ทำให้ตรวจสอบชำระกันวุ่นวาย

จนก็ตัดสินเป็นเอกฉันท์ว่ามีสำนวนหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับ ใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิมของวาลมิกิสุดๆ คือ “รามายณะ ของฤๅษีวาลมิกิ ฉบับ บาโรดา(Oriental Institute Baroda)”!!!

แต่ๆ!! ในวันนี้จะขอยังไม่เมาท์ฉบับยิ่งใหญ่อลังการนี้ แต่อยากจะขอยกบางจุดที่น่าสนใจของรามายณะฉบับนึงที่อินดี้มากๆหน่อย มาแชร์ให้พอรู้กันว่า เฮ้ย มันยังมีรามายณะเวอร์ชันนี้อยู่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “คัมภีร์เทวีภาควัตปุราณะ” ( Devi Bhagavad Puran)

“ทศกัณฐ์” (พ่อหนุ่ม10หัว) จะเป็นที่รู้จักในอินเดียในชื่อ “ราวณะ”(จอมแหกปาก-เคยไปแหยมกับพระศิวะ พระศิวะเลยปราบเข้าให้จนต้องแหกปากร้องจนเป็นฉายา) และเชื่อมั้ยว่าพี่แกมีบันทึกเป็นเรื่องเป็นราวว่าเป็นคนแต่งบทสวดบูชาพระศิวะ (Shiva Tandava Stotram) ก็เพราะว่าในตำนานนี่นะ พี่แกเป็นแฟนพันธุ์แท้ เชิดชูบูชาพระศิวะมากๆๆๆเลยไง….

ในเวอร์ชั่นของอินเดียนี้ราวณะไม่เคยเกิดเป็นนนทุกนิ้วเพชรผู้น่าสงสารถูกเทวดาแกล้งจนมีดราม่าให้มาเกิดเป็นทศกัณฐ์ อันนี้น่าจะแค่เวอร์ชั่นไทย

ราวณะเวอร์ชั่นนี้ เป็นราวณะยักษ์10 หัวอยู่ก่อนแล้ว แล้วพี่แกก็อยาก “เป็นอมตะ” ด้วยแรงศรัทธาก็เลยแต่งบทสวดขึ้นมาบูชาสรรเสริญพระศิวะ( คิดดูว่าบูชาหนักขนาดไหนถึงขั้นสวดแล้วยังมีจำมาถึงปัจจุบันนี้ก็คงต้องฮิตมากเลยล่ะ) มีการทำพิธียิ่งใหญ่อลังการ บำเพ็ญตบะแน่วแน่ ถึงขั้นเฉือนหัวหลายหัวของตัวเองลงกองไฟไปเลยเพื่ออยากให้เทพลงมาพบฟังคำขอ

ตามปกติเวลาใครบำเพ็ญตละ ตามตำนานคือเทพเจ้าจะรับรู้ได้ แล้วก็เป็นหน้าที่จำเป็นเลยนะว่าต้องมาให้พร มาฟังคำขอของเขา ก็นั่นแหละ ในที่สุดเทพก็ต้องเสด็จลงมาหา แต่ ตามกติกาของเทพมีข้อห้ามอยู่แล้วว่าจะไม่ให้ใครเป็นอมตะ ก็เลยจะให้พรที่ใกล้ๆเคียงมีข้อยกเว้นนั่นนี่กันไป

และแล้ว ราวณะก็ได้พรได้เป็น “ผู้แข็งแรงไร้เทียมทาน” จากพระศิวะ เป็น “ผู้ที่ไม่มีใครสังหารได้ยกเว้นผู้ที่เกิดในเผ่าพันธุ์ที่ต่ำกว่า จากพระพรหม!

ด้วยกิเลสในจิตใจ ทำให้หลังจากได้รับพรอันยิ่งใหญ่ ราวณะก็ทำตัวเกะกะระราน เป็นที่เดือดร้อนกันไปทั่ว จนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งความชั่วร้าย ร้อนไปถึงเหล่าทวยเทพ จึงประชุมและมีมติว่า ในฐานะผู้ดูแลรักษาโลก “พระนารายณ์” เทพเจ้าสูงสุดอีกพระองค์(เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ไปให้พรวันนั้น) ก็เลย เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหานี้

พระนารายณ์จึงได้อวตาร(ก๊อปปี้ตัวเอง ส่งบางส่วนลงไปเกิด โดยที่ร่างหลักยังคงอยู่) ไปเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ต่ำกว่ารากษสซึ่งจะฆ่าราวณะได้ โดยจะไปเกิดเป็นโอรสของ “ท้าวทศรถ” กษัตริย์ราชวงศ์รฆุ(ระ-คุ) แห่งสุริยวงศ์ (สืบเชื้อสายจากพระอาทิตย์)

มีชื่อว่า “พระราม” ส่วนพระลักษมีผู้เป็นชายาก็อวตารตามลงไปเช่นกันเป็น “นางสีดา” ชายาของพระราม บรรดาเทพทั้งหลายต่างก็ส่งตัวแทนของตนลงไปเกิดเป็นบริวารเพื่อคอยช่วยเหลือพระรามในโลกมนุษย์เช่นกัน

พระราม เป็นโอรสที่เป็นที่รักและโปรดปรานของท้าวทศรถมาก พระองค์หวังให้พระรามได้เป็น รัชทายาท เพื่อจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ในอนาคต แต่ด้วยโชคชะตาฟ้าลิขิตทำให้พระรามต้องจากบ้านเมืองไประหกระเหินเดินป่า พร้อมด้วย “พระลักษมัณ”(พระลักษณ์ที่เราคุ้นเคยนั่นไง)น้องชาย และ “สีดา” ชายาผู้เลอโฉม

ซึ่งการเข้าป่าของพระรามในครั้งนี้ บรรดาทวยเทพต่างก็รู้ดีว่าจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะทำให้เกิดสงครามระหว่างรากษส(ยักษ์) และ กองทัพวานรที่นำโดยพระราม ซึ่งเป็นสาเหตุที่จะทำลาย “ราวณะ” ผู้ชั่วร้ายได้

บรรดาทวยเทพได้ประชุมกันอีกครั้ง และส่ง “พระอัคนี”(เทพแห่งไฟ) ให้แปลงกายเป็น พราหมณ์ มาพบกับพระรามในป่า พระอัคนีบอกกับพระรามว่าในอนาคตอันใกล้นี้ นางสีดา ชายาของพระรามจะถูกลักพาตัวไปโดยราวณะราชากรุงลงกา

จึงเสนอให้พระรามมอบนางสีดาผู้เป็นชายา มาซ่อนตัวอยู่กับพระอัคนีก่อนเพื่อความปลอดภัย และจะสร้าง “มายาสีดา” (นางสีดาตัวปลอม) ขึ้นมาให้อยู่กับพระราม เพื่อให้ราวณะเข้าใจว่าเป็นสีดาตัวจริงและลักพาตัวไป

(เอาแล้วมีการสร้างสีดาตัวจริงตัวปลอมมาละ ตอนนี้สีดามีถึงสองคนโดยไม่ต้องพึ่งโคลนนิ่งเลย!!!)

“เมื่อทุกอย่างจบสิ้น ถึงเวลาที่สีดาจะต้องลุยไฟเพื่อยืนยันความสัตย์ ข้าจะคืนนางให้ท่าน …ความจริงแล้วข้าไม่ใช่พราหมณ์ เหล่าเทพส่งข้ามาที่นี่ ข้าคืออัคนีเทพ!” พระอัคนีบอกกับพระราม

หลังจากที่พระรามได้รับรู้ความจริงจากพระอัคนีแล้วก็ตกใจมาก และได้ตอบตกลงไป เป็นที่เรียบร้อย พระองค์ได้รักษาทุกอย่างเป็นความลับสุดยอด โดยไม่ให้ใครรู้แม้แต่พระลักษมัณ น้องชายที่สนิทมาก

เมื่อสงครามอันยิ่งใหญ่กินเวลายาวนานเสร็จสิ้น ราวณะถูกสังหาร และชิงสีดา(มายาสีดา) กลับคืนมาได้ พระอัคนีก็ได้สลับตัว ‘มายาสีดา’ กับ ‘ สีดา’ ในพิธีลุยไฟ(พิธีสำหรับพิสูจน์ ความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้ข้องเกี่ยวกับราวณะตลอดระยะเวลาที่อยู่กรุงลงกา) เพื่อเป็นการคืนชายาที่แท้จริงกับพระรามตามที่ได้บอกไว

เมื่อพระรามได้นางสีดาตัวจริงกลับคืนมาแล้ว หน้าที่ของมายาสีดาจบสิ้นลง นางจึงกลายเป็นหญิงไร้สามีไปโดยปริยาย ไม่มีที่พึ่งพิง ไม่มีหน้าที่ใดๆให้ทำต่อไป! มายาสีดาผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่กลับต้องมาเจอชะตากรรมอันน่าเศร้านี้

ด้วยความสงสารและเข้าใจในการตกที่นั่งลำบากของนาง พระอัคนีและพระรามจึงได้แนะนำให้มายาสีดาไปที่เมืองพุชการ์ เพื่อ บูชาพระศิวะ ซึ่งมายาสีดาก็ได้ทำตามนั้น และได้บำเพ็ญตบะจนได้มีอีกนามหนึ่งว่า “สวรรคลักษมี”

(สะ-หวัน-คะ- ลัก-สะ-หมี แปลว่า แปลว่า ลักษมีจากสวรรค์ เพราะปกติพระลักษมีไม่ได้อยู่บนสวรรค์แต่อยู่ที่เกษียรสมุทรกับพระนารายณ์ การบำเพ็ญตบะของมายาสีดาจึงเหมือนการได้เป็นพระลักษมีอีกองค์หนึ่ง)

แล้วจุดนี้ก็จะเป็นส่วนที่ไปเชื่อมโยงกับมหากาพย์อีกเรื่องหนึ่งคือ “มหาภารตะ” เป็นเรื่องกำเนิดของนางเทราปที(ในเวอร์ชั่นหนึ่ง)

ในการบำเพ็ญตบะครั้งนั้นเอง สวรรคลักษมีก็ได้ขอพรกับพระศิวะให้ตนได้มีสามีอีกครั้ง แต่ด้วยความเศร้าโศกในชะตากรรมตัวเองทำให้นางกล่าวคำขอพรนั้นอยู่ซ้ำๆถึง 5 ครั้ง! เมื่อพระศิวะรับรู้ถึงความมุ่งมั่นในการบำเพ็ญตบะ จึงปรากฏกายต่อหน้านาง และมอบพรให้นางได้สมปรารถนา

“…ในชาติต่อจากนี้เจ้าจะได้มีสามีที่ดีถึง 5 คน! และได้เกิดเป็นธิดาของราชาแคว้นปัญจาละ มีนามว่า เทราปที”

…สตรี ผู้เป็นชนวนแห่งสงคราม “มหาภารตะ” การสู้รบอันยิ่งใหญ่ระหว่างพี่น้องปาณฑพ และเการพ!!


ปล. ชาติต่อมา ราวณะ ไปเกิดใหม่เป็น “ศิศุปาละ” และพระนารายณ์ได้อวตารลงไปปราบอีกครั้ง โดยเกิดเป็น “พระกฤษณะ” แห่งจันทรวงศ์ (สืบเชื้อสายจากพระจันทร์) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสำคัญในสงครามมหาภารตะ

Cr.ขอบคุณภาพประกอบจาก https://comicvine1.cbsistatic.com/uploads/original/0/77/2516102-133_large.jpg


***การเขียนอะไรสักอย่างนึง ต้องใช้แรงกายแรงใจเยอะมาก ฝากติดตามด้วยน้าาา เราจะได้มีกำลังใจเขียนต่อ...ร่วมพูดคุย และกดไลค์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนได้ในเพจ
https://www.facebook.com/PanchaliWriter

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม